FLoodblock
ถุงทรายนวัตกรรมนาโน เพื่อป้องกันน้ำท่วม
โรคยอดฮิตที่มากับน้ำท่วม!!!
เมื่อเกิดสถานการณ์น้ำท่วม เราก็เลี่ยงไม่ได้เลยจริงๆที่จะต้องเผชิญกับเชื้อโรคต่างๆ
ที่อาจมากับน้ำท่วม และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตและเจ็บป่วยอันดับต้นๆ เรามาดูสาเหตุ
และการป้องกันแก้ไขโรคที่มากับน้ำท่วมกันนะครับ
1.โรคน้ำกัดเท้าหรือ ฮ่องกงฟุต
จะมีอาการคัน อันเกิดจากเชื้อราที่เท้า เมื่อเท้าเปียก ๆ ชื้น ๆบ่อย จะเป็นบ่อเกิดของเชื้อราที่เรียกว่า Dermatophytes เนื่องจากเชื้อราจะเจริญเติบโตได้ดีในอากาศชื้นนั่นเอง
การติดเชื้อ
การติดเชื้อส่วนใหญ่ หากไม่ใช่ฤดูฝน มักจะเกิดจากเหงื่อออก หมักหมม ไม่รักษาความสะอาดให้ดี แต่หากในช่วงน้ำท่วม มักเป็นจากเท้าที่เปียกๆ ชื้นๆ บ่อยๆ แล้วไม่ดูแลรักษาความสะอาดให้ดี เนื่องจากน้ำท่วมมีการกักขังอยู่ในบริเวณรอบบ้านเป็นเวลานาน น้ำย่อมระเหยออกมาทำให้เพิ่มความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศเพิ่มสูงขึ้น ทำให้อากาศหรือรองเท้า เราแห้งได้ยากเป็นบ่อเกิดเชื้อราที่ดี
อาการของโรค
คันตามซอกนิ้วเท้าและผิวหนังลอกออกเป็นขุย ๆ เป็นผื่นที่เท้า ที่พบบ่อยจะเกิดตรงซอกนิ้ว แต่ก็สามารถลุกลามไปถึงฝ่าเท้าและเล็บได้
การรักษา
การรักษาโรคราที่เท้า ควรล้างเท้าให้สะอาดด้วยสบู่และเช็ดให้แห้ง ใส่ถุงเท้าที่สะอาดและไม่เปียกชื้น ใช้ครีมรักษาเชื้อราทา
การป้องกัน
1. หลีกเลี่ยงการแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานานๆ
2. ถ้าจำเป็นจะต้องเดินลุยน้ำหรือแช่น้ำควรสวมรองเท้าบู๊ท
3. หากมีถุงพลาสติกก็สามารถใส่ครอบเท้าก่อนใส่รองเท้าบูทอีกชั้นนึง
4. พยายามเช็ดเท้าให้แห้งสนิท และล้างด้วยสบู่หลังจากออกไปลุยน้ำมาทุกครั้ง
2. โรคอุจจาระร่วง
ผู้ป่วยจะถ่ายอุจจาระเหลว 3 ครั้งต่อวัน หรือมากกว่า หรือถ่ายอุจจาระเป็นมูกปนเลือดอย่างน้อย 1 ครั้ง โรคอุจจาระร่วงเป็นโรคติดต่อระบบทางเดินอาหารมักพบบ่อยขณะเกิดภาวะน้ำท่วมเกิดจากทั้งเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย
การติดต่อ
โดยการสัมผัสเชื้อจากการกินอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรคจากสิ่งปฏิกูลที่มาจากน้ำท่วม หรือจากการใช้น้ำที่ไม่สะอาดชำระล้างภาชนะใส่อาหาร เช่น ถ้วย ชาม ช้อน ที่ปนเปื้อนปัสสาวะ อุจจาระ ขยะมูลฝอยที่บูดเน่า หรือจากการไม่ล้างมือให้สะอาดก่อนเตรียมหรือปรุงอาหาร จะทำให้เกิดโรคติดต่อทางเดินอาหารต่าง ๆ ได้ เพราะในช่วงน้ำท่วมเราจำเป็นต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่น ควรหลีกเลี่ยงที่สุดคือการใช้มือในการ
รับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น และอาหารที่รับประทานนั้นควรปรุงให้สุกเต็มที่ก่อนจะรับประทาน เพราะแบคทีเรียและไวรัส จะยังอยู่ในอาหารหากเราไม่ทำการปรุงอาหารให้สุก ก็จะทำให้เกิดโรคท้องร่วงตามมาได้แน่นอน
การป้องกัน
1. ดื่มน้ำสะอาด น้ำบรรจุขวด ถ้าจำเป็นต้องดื่มน้ำที่ท่วมควรต้มให้สุกก่อน
2. ล้างมือด้วยสบู่ทุกครั้งก่อนกินอาหารและหลังการขับถ่าย
3. ภาชนะที่ใส่อาหารควรล้างด้วยน้ำสะอาดก่อนนำมาใช้
4. กินอาหารที่ทำสุกใหม่ๆ ที่ไม่มีแมลงวันตอม
5. รักษาความสะอาดในเรื่องการกำจัดขยะมูลฝอย การกำจัดอุจจาระ ปัสสาวะที่ถูกต้อง
6. หลีกเลี่ยงการถ่ายอุจจาระในน้ำที่ท่วมเพราะจะทำให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อโรคได้ (ในภาวะน้ำท่วมสูงควรถ่ายใส่ถุงดำแล้วโรยปูนขาว ปิดปากถุงให้แน่น รอเรือเก็บขยะมาเก็บ)
7. ไม่ควรกินยาหยุดถ่ายเองควรปรึกษาแพทย์
8. ควรรับประทานอาหารที่ปรุงถูกสุขลักษณะ
3. โรคตาแดง
เป็นโรคติดต่อที่ระบาดได้ง่ายมาก เกิดจากเชื้อไวรัส โรคนี้จะไม่ทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิตแต่ถ้าไม่รีบรักษาอาจเกิดโรคแทรกซ้อนได้ เพราะในช่วงเวลาน้ำท่วมทั้งเชื้อไวรัสและแบคทีเรียสามารถเจริญเติบโตได้ดี
สาเหตุ
1. ใช้มือสกปรกที่อาจมีเชื้อโรคขยี้ตา
2. ใช้สิ่งของเครื่องใช้ร่วมกับผู้ที่เป็นโรค หรือเล่นกับผู้ป่วย
3. แมลงวันหรือแมงหวี่ตอมตา หรือฝุ่นละอองเข้าตามาก ๆ จนตาอักเสบ
4. อาบน้ำในคลองสกปรก หรือที่มีตาแดงระบาด
การป้องกัน
ไม่คลุกคลีกับผู้ป่วยโรคตาแดง ล้างหน้าและมือให้สะอาดอยู่เสมอ ไม่ควรเอามือขยี้ตา ห้ามใช้ของร่วมกับผู้ป่วยโรคตาแดงเด็ดขาด
อาการ
เคืองตา น้ำตาไหล มีขี้ตามาก อาการจะมีประมาณ 10 วัน
การรักษา
พักสายตาบ่อย ๆ ประคบตาด้วยผ้าเย็น และเช็ดตาด้วยสำลีชุบน้ำอุ่น สังเกตุอาการจะดีขึ้น ใน 1 สัปดาห์
4. โรคฉี่หนู Leptospirosis
เชื้อนี้สามารถพบได้สัตว์หลายชนิด แต่พบมากในหนู โดยตัวเชื้อโรคในหนูจะออกมากับฉี่ของหนู และปนเปื้อนอยู่ตามแหล่งน้ำ ซึ่งเชื้อที่อยู่ตามแหล่งน้ำนี้ สามารถเข้าทางผิวหนังของผู้ป่วยที่มีบาดแผล หรือรอยถลอกที่ผิวหนัง และหากบริเวณบาดแผลไปสัมผัสกับน้ำที่มีเชื้อโรคฉี่หนู เชื้อโรคก็จะเข้าสู่ตัวผู้ป่วย และก่อโรคได้ ในภาวะน้ำท่วม สัตว์ต่างๆเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เราจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเจอกับสัตว์ทั้งที่มีพิษ และไม่พิษต่างๆ ยิ่งถ้าบริเวณรอบบ้านคุณอยู่ใกล้ตลาดหรือแหล่งชุมชน จะเป็นแหล่งกบดานของหนูต่างๆและเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคอย่างดี น้ำที่ท่วมขึ้นมาก็จะชะล้างฉี่หนูและเชื้อโรคอื่นๆปนมาด้วย
สาเหตุ
เกิดจากเชื้อ Leptospira interogans มักจะพบการระบาดช่วงฤดูฝนเพราะมีน้ำขัง
การติดต่อ
โดยเชื้อที่ปนในน้ำ ในดิน เข้าสู่คนทางผิวหนัง หรือเยื่อบุ ที่ตา ปาก จมูก
หลังจากได้รับเชื้อ โดยเฉลี่ย 10 วันผู้ป่วยก็จะเกิด
อาการของโรค คือ
- ปวดศีรษะทันที มักจะปวดบริเวณหน้าผาก หรือหลังตา บางรายปวดบริเวณขมับทั้งสองข้าง
- ปวดกล้ามเนื้อมาก โดยเฉพาะบริเวณ ขา น่อง เวลากด หรือจับจะปวดมาก
- ไข้สูงร่วมกับหนาวสั่น อาการต่าง ๆ อาจอยู่ได้ 4-7 วัน
นอกจากอาการดังกล่าวผู้ป่วยอาจมีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน บางรายมีอาการถ่ายเหลว ปวดท้อง การตรวจร่างกายในระยะนี้อาจพบว่าผู้ป่วยมีอาการตาแดง
การป้องกัน
- หลีกเลี่ยงการว่ายน้ำ แช่หรือลุยในน้ำที่อาจปนเปื้อนเชื้อปัสสาวะของสัตว์นำโรค ถ้าจำเป็นควรสวมรองเท้าบู๊ท
- ล้างเท้าหรือส่วนที่แช่อยู่ในน้ำเมื่อขึ้นจากการแช่น้ำทุกครั้งและรีบอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายทันที
- เมื่อมีอาการน่าสงสัย เช่น มีไข้ ปวดศรีษะรุนแรง ปวดกล้ามเนื้อน่อง โคนขา หลังหรือมีอาการตาแดง ให้รีบพบแพทย์ด่วน
การรักษา
ก่อนอื่นผู้ป่วยจะต้องไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย และยาที่มักจะได้รับ คือ ยาปฏิชีวนะ เช่น เพนนิซิลิน หรือ doxycycline อย่างไรก็ตาม ห้ามซื้อยารับประทานเองเด็ดขาดเพราะอาจเกิดอันตรายถึงชีวิต เนื่องจากเป็นเชื้อโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ร่างกายเองไม่สามารถ
ที่จะสร้างภูมิต้านทานโรคขึ้นได้เอง จึงจำเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะ เพื่อรักษาอาการให้ดีขึ้นเท่านั้น
5.โรคไข้เลือดออก
สาเหตุ
โรคไข้เลือดออกเกิดจากไวรัสเดงกี (Dengue Virus) เป็นโรคติดต่อที่มียุงลายเป็นพาหะ ซึ่งมีอยู่ 4 สายพันธุ์ การติดเชื้อครั้งแรกมักจะมี
อาการไม่รุนแรง แต่ถ้าติดเชื้อครั้งที่ 2 โดยเชื้อที่ต่างสายพันธุ์กับครั้งแรก อาการมักจะรุนแรงถึงขั้นเลือดออกหรือช็อคหรือเสียชีวิต โรคนี้พบมาก ในเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี
อาการ
1. ระยะไข้ (2-7 วัน) ผู้ป่วยจะมีไข้สูงเกือบตลอดเวลา เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง มักมีหน้าแดง และอาจมีผื่นหรือจุดเลือดออกตามลำตัว แขน ขา
2. ระยะช็อค ระยะนี้ไข้จะเริ่มลดลง ผู้ป่วยจะซึม เหงื่อออก มือเท้าเย็น ชีพจรเต้นเบาแต่เร็ว ปวดท้อง โดยเฉพาะบริเวณใต้ชายโครงขวา ปัสสาวะออกน้อย อาจมีเลือดออกง่าย เช่น มีเลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือด อุจจาระมีสีดำ ในรายที่รุนแรง จะมีความดันโลหิตต่ำ ช็อค และอาจถึงตายได้ ระยะนี้กินเวลา 24-48 ชั่วโมง ซึ่งผู้ป่วยแต่ละรายไม่จำเป็นต้องเป็นรุนแรงและเข้าสู่ภาวะช็อคทุกราย
ในผู้ป่วยไข้เลือดออกที่อาการไม่รุนแรง เมื่อไข้ลดก็จะมีอาการดีขึ้น รับประทานอาหารได้ เข้าสู่ระยะฟื้นตัว
3. ระยะฟื้นตัว อาการต่างๆจะเริ่มดีขึ้น ผู้ป่วยรู้สึกอยากรับประทานอาหาร ความดันโลหิตสูงขึ้น ชีพจรเต้นแรงขึ้นและช้าลง ปัสสาวะมากขึ้น บางรายมีผื่นแดงและมีจุดเลือดออกเล็กๆ ตามลำตัว
ข้อแนะนำการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน เมื่อเกิดภาวะน้ำท่วมมีดังนี้
-
เช็ดตัวลดไข้ ให้ยาลดไข้ตามที่แพทย์สั่ง ได้แก่ ยาพาราเซตามอล ทุก 4-6 ชั่วโมง ถ้ามีไข้เกิน 3 วัน ควรมาพบแพทย์
-
ห้ามให้ยาลดไข้ที่มีส่วนผสมของแอสไพริน หรือ ibuprofen เพราะอาจทำให้เกิดเลือดออกในทางเดินอาหารได้
-
ดื่มน้ำมากๆ โดยแนะนำให้ดื่มน้ำผลไม้หรือน้ำเกลือแร่แทนน้ำเปล่า
-
หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสจัดทุกชนิด เพราะอาจระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร
-
หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสีแดงหรือดำ เพราะอาจทำให้สับสนกับภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารได้
-
ให้มาพบแพทย์ทันทีหากมีอาการต่อไปนี้
-
อาเจียนมาก ไม่สามารถรับประทานอาหารและน้ำได้เพียงพอ
-
ปวดท้องมาก
-
มีเลือดออกรุนแรง เช่น ถ่ายดำ อาเจียนเป็นเลือด
-
เอะอะโวยวาย มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง
-
กระสับกระส่าย เหงื่อออก ตัวเย็น มือเท้าเย็น
-
ไม่ปัสสาวะนานกว่า 6 ชั่วโมง
-
ซึมลงไม่ค่อยรู้สึกตัว หอบเหนื่อย
-
การรักษา
เนื่องจากยังไม่มียาต้านเชื้อไวรัสที่มีฤทธิ์เฉพาะสำหรับเชื้อไวรัสเดงกี การรักษาตามอาการจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยให้ยาพาราเซทตามอลในช่วงที่มีไข้สูง ห้ามให้ยาแอสไพริน ถ้ามีอาการคลื่นไส้อาเจียนให้ยาแก้คลื่นไส้และให้ดื่มน้ำเกลือแร่หรือน้ำผลไม้ครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง และคอยสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด เพื่อจะได้ป้องกันภาวะช็อคได้ ระยะที่เกิดช็อคส่วนใหญ่จะเกิดพร้อมๆกับช่วงที่ไข้ลดลง ผู้ปกครองควรทราบอาการก่อนที่จะช็อค คือ อาจมีอาการปวดท้อง ปัสสาวะน้อยลง มีอาการกระสับกระส่ายหรือซึมลง มือเท้าเย็นพร้อมๆกับไข้ลดลง หน้ามืด เป็นลมง่าย หากเป็นดังนี้ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที
การป้องกันในภาวะปกติ
-
ป้องกันไม่ให้ยุงกัด โดยนอนในมุ้งแม้ในเวลากลางวัน
-
กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงในบ้าน รวมทั้งบริเวณรอบๆบ้าน
-
ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำในภาชนะที่ขังน้ำทุก 7 วัน เช่น แจกัน
-
กำจัดภาชนะแตกหักที่ขังน้ำ เช่น ยางรถเก่า กระถาง
-
เลี้ยงปลากินลูกน้ำในอ่างบัวหรือแหล่งน้ำอื่นๆ
-
ปิดฝาโอ่งหรือภาชนะอื่นๆให้มิดชิดหรือใส่ทรายเคมี กำจัดลูกน้ำในภาชนะที่เก็บน้ำไว้ใช้ใส่เกลือหรือน้ำส้มสายชูลงในจานรองขาตู้กับข้าวสัปดาห์ละครั้ง
-
ใส่ทรายอะเบต 1% ลงในตุ่มน้ำและภาชนะกักเก็บน้ำในอัตราส่วน 10 กรัมต่อน้ำ 100 ลิตรควรเติมใหม่ทุก 2-3 เดือน น้ำที่ใส่ทรายอะเบตสามารถใช้ดื่มกินได้อย่างปลอดภัย
6. โรคเครียด ในภาวะเช่นนี้ ทุกคนที่ประสบภัยน้ำท่วม หรือกำลังอยู่ในที่ที่มีความเสี่ยงที่อาจถูกน้ำท่วม ก็จะเกิดภาวะเครียดเป็นธรรมดา จะมากหรือน้อยขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น ปัจจัยส่วนตัวของผู้นั้นเองว่ามีความมั่นคงทางอารมณ์มากน้อยเพียงใด แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีเพียงใด และอีกปัจจัยที่มีผลต่อความรุนแรงของความเครียด คือขนาดของความเสียหาย หากขนาดของความเสียหายมาก ก็มีโอกาสที่จะมีความเครียดรุนแรงได้ หากมีอาการเครียดมากจน ทำให้การทำกิจวัตรประจำวันเสียไป นอนไม่หลับ ก็ควรไปพบแพทย์ เพื่อรับคำแนะนำ และแพทย์อาจให้ยาคลายเครียดช่วย ในรายที่มีอาการมาก จนรบกวนการดำรงชีวิตประจำวัน และในรายที่อาการมาก อาจต้องพบจิตแพทย์ ไม่มีใครหรอกครับที่อยากให้บ้านหรือทรัพย์สินตัวเองเสียหาย หรือกระทบการใช้ชีวิตประจำวันในการทำมาหากิน หากเรามานั่งตระหนักถึงสถานการณ์ ว่าจริงๆแล้วเราไม่สามารถควบคุมปริมาณน้ำได้ ไม่มีใครควบคุมปริมาณฝนหรือการตกของฝนได้ 100% เราเพียงแต่ต้องเตรียมการรับมือ ให้ดีที่สุด เพราะถ้าเราเตรียมรับมือ
*** การป้องกันในสถานการณ์ภาวะน้ำท่วมขัง เราไม่อาจควบคุมสถานการณ์ภายนอกได้ จึงควรจัดการบริเวณรอบบ้านและในบ้านด้วยตัวเอง โดยการใช้สเปรย์สมุนไพรในช่วงเวลาปกติ รวมถึงเวลานอนก็ควรกางมุ้งนอน
ในช่วงเวลาน้ำท่วม หากไม่สามารถหาอุปกรณ์ป้องกันหรือสารป้องกันยุงได้ เราอาจจะใช้สมุนไพรไทยที่พอหาได้ทดแทน อย่างน้อยจะลดความเสี่ยงที่ยุงจะกัดหรือมาอยู่ใกล้ได้บ้างไม่มากก็น้อย
วิธีไล่ยุงด้วยวิธีการพื้นบ้าน แน่นอนว่าเป็นวิธีการที่ปลอดภัยจากสารเคมี หรือสิ่งที่อาจจะจสร้างอันตรายต่อสุขภาพของท่านได้ นอกจากนั้นยังเป็นวิธีการที่ประหยัดอีกด้วย ดังนี้
1. วางกระเทียม-พริกไทยดำตามมุมห้องครัว หรือบ้าน
นำกระเทียมปลอกเปลือก-ปาดหัว หรือพริกไทยดำ มาวางตามมุมต่าง ๆ ที่ต้องการ โดยเฉพาะมุมมืด ๆ ที่ยุงมักจะแอบเข้าไปอยู่ วิธีนี้จะทำให้ยุงบินหนีไปที่อื่น หรือนอกบ้านได้
2. ใช้พัดลมไล่ยุง
ยุงตัวเล็ก มีน้ำหนักเบา เมื่อเจอลมเข้าไป แน่นอนว่าจะไม่สามารถต้านแรงลมได้จนต้องล่าถอยออกไปในส่วนที่ไม่มีลมแทน
3. จุดเทียนหอมระเหย
เทียนหอมระเหย เทียนอโรม่า ที่หลายคนชื่นชอบ สามารถไล่ยุงได้ เนื่องจากเทียนหอมระเหยมักมีสมุนไพรผสมอยู่มากมาย เช่น ตะไคร้ หรือยูคาลิปตัส ซึ่งเป็นกลิ่นที่ยุงไม่ค่อยชอบ
4. เผาโรสแมรี่ เปลือกส้ม
หากชอบทำกิจกรรมนอกบ้าน หรือบริเวณสนามหญ้า แต่ถูกยุงรบกวน แนะนำให้ใช้โรสแมรี่ หรือเปลือกส้ม เผาในเตา กลิ่นที่ลอยออกมาจะช่วยไล่ยุงได้
5. ป้องกันยุงด้วยต้นสะเดา
ต้นสะเดามีสรรพคุณในการไล่ยุง โดยสามารถสกัดน้ำยาได้ทั้งจากต้นสะเดาสดหรือเมล็ดก็ได้
6. ใช้น้ำมันสกัดจากถั่วเหลือง
น้ำมันสกัดจากถั่วเหลืองมีสรรพคุณช่วยไล่ยุงได้เช่นกัน
7. หลอดไฟเหลืองกันยุง
เนื่องจากยุงจะไม่ใชอบแสงจากหลอดไฟสีเหลือง จึงสามารถนำวิธีมาประยุกต์ใช้โดยการพ่นสเปรย์สีเหลือง หรือเคลือบหลอดไฟตะเกียบหรือหลอดไฟกลม นำไปติดตั้งบริเวณที่มืด ๆ อย่างระเบียงบ้าน หรือรั้วบ้านได้
8. ปี๊บดักยุง
นำถุงเท้าที่มีกลิ่นอับ ใส่ในปี๊บแล้วนำไปวางไว้ในมุมอับของบ้าน ทิ้งไว้ข้ามคืน ยุงจะบินเข้าไปตอมกลิ่น ตอนเช้าจึงปิดฝาแล้วนำปี๊บไปตากแดด เท่านี้ยุงก็จะตายทั้งหมด
9. ใช้กากกาแฟป้องกันยุงวางไข่
โรยกากกาแฟลงไปด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้ยุงมาวางไข่และป้องกันไม่ให้ยุงขยายพันธุ์ในบ้าน
ขอขอบคุณกองบรรณาธิการวารสารศิริราชประชาสัมพันธ์และ ddproperty สำหรับข้อมูลและบทความครับ